โจโฉ Cao Cao
สมเด็จพระจักรพรรดิเว่ยอู่ตี้ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 155 - ค.ศ. 220 เป็นขุนศึกและผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคนสุดท้าย ในราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของประเทศจีน ในภายหลังโจโฉได้ก่อตั้งวุยก๊ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสามอาณาจักรของยุคสามก๊ก
ในวรรณคดีเรื่องสามก๊กบางสำนวน โจโฉได้รับการบรรยายให้เป็นจักรพรรดิที่โหดเหี้ยมและทะเยอทยาน แต่ตามประวัติศาสตร์แล้ว[ต้องการอ้างอิง] โจโฉเป็นผู้ปกครองที่สามารถ นักการทหารที่ชาญฉลาด และยังเป็นกวีอีกด้วย ในสามก๊ก โจโฉแม้จะเป็นคนโหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์ แต่ก็หาใช่ว่าเป็นคนไร้เหตุผล ตรงกันข้ามยังเป็นคนผูกใจคนเก่ง โจโฉจึงมี general และ strategist ที่เก่งกาจหลายคนทํางานให้เช่นแฮหัวตุ้น,แฮหัวเอี๋ยน,เตียวคับ,เตียว เลี้ยว,ซิหลง,เคาทู,กุยแก โจโฉชอบใช้คนมีความสามารถ รู้จักใช้คน โจโฉบริหารจัดการเก่ง มีความเป็นผู้นำสูง และออกอุบายวางแผนได้ด้วยตนเอง ซึ่งหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวว่า "ยิ่งอ่าน ยิ่งรักน้ำใจโจโฉ" และเป็นที่ของหนังสือที่ชื่อ "โจโฉ นายกฯตลอดกาล" ที่ว่าด้วยการมองโจโฉในอีกแง่ และให้ฝ่ายจ๊กก๊ก ของเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เป็นตัวร้ายแทน
พระเจ้าโจโฉเริ่มต้นชีวิตทางทหารด้วยการเป็นหนึ่งในแม่ทัพของฝ่ายราชวงศ์ฮั่นที่ออกปราบกบฏโจรโพกผ้าเหลืองซึ่งมี "เตียวก๊ก" เป็นหัวหน้า ซึ่งมี พระเจ้าเลนเต้เป็น จักรพรรดิ โจโฉ มีชื่อรองว่า เมิ่งเต๋อ เป็นบุตรของโจโก๋ อดีตข้าหลวงในวัง เดิมมิได้แซ่ "โจ" แต่แซ่ "แฮหัว" โจโฉในวัยเด็กเป็นคนไม่เอาไหน มีรูปร่างเล็ก ฉลาดแบบเจ้าเล่ห์ เก่งในการเอาตัวรอด เชี่ยวชาญตำราพิชัยสงคราม แต่ก็ชื่นชอบในศิลปะ อุปนิสัยรอบคอบ โจโฉได้รับความดีความชอบในการปราบโจรโพกผ้าเหลือง แต่ท้ายสุดถูกหักหลัง ต่อมาเมื่อตั๋งโต๊ะเป็นใหญ่ โจโฉก็ร่วมมือกับเจ้าเมือง 18 หัวเมืองตั้งเป็น "กองทัพสิบแปดหัวเมือง" โดยมี อ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพใหญ่ ปราบตั๋งโต๊ะ ต่อมาเนื่องจากโจโฉเอือมระอากับความแตกแยกในกองทัพ ประกอบกับการลอบสังหารตั๋งโต๊ะไม่สำเร็จ จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกที่เห็นด้วยกับตนแยกออกมา ระหว่างทางได้พบกับนายอำเภอคนหนึ่งชื่อ ตันก๋ง
ระหว่างพักค้างแรม โจโฉได้สังหารแป๊ะเฉีย และคนในครอบครัว ด้วยเข้าใจผิดในความปรารถนาดีของแป๊ะเฉียที่จะฆ่าหมูมาเลี้ยง ความโหดเหี้ยมของโจโฉจึงปรากฏในตอนนี้ โจโฉได้กล่าววาจาที่แสดงถึงตัวตนของเขาได้ชัดเจนว่า "ข้ายอมทรยศคนทั้ง โลก แต่ไม่ยอมให้ใครทรยศข้า" เมื่อโจโฉตั้งตัวได้ ก็กล้าที่จะปลอมราชโองการ กล้าที่จะแอบอ้างราชโองการเพื่อที่จะกำจัดฝ่ายตรงข้าม ทำให้ในที่สุด โจโฉได้รับการสถาปนาเป็นสมุหนายก หลังจากนั้น ก็ มหาอุปราช (ไจเสี่ยง) มีอำนาจสามารถสั่งการแทนฮ่องเต้ ทำให้มีอำนาจล้นฟ้า ไม่มีใครที่จะคานอำนาจ จึงกล้าถึงขนาดทดสอบบารมีของพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ต้องแอบเขียนหนังสือลับด้วยโลหิตตนเองถึงเล่าปี่ ให้จัดการกับโจโฉที่ทำตนเป็นตั๋งโต๊ะอีกคน
โจโฉ ได้ครองเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งเป็นเมืองหลวง ทำให้แคว้นวุยก๊กของเขาเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุด มีไพร่พลมากที่สุด มีบุคลากรมากที่สุด มั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์มากที่สุด สมัยรุ่งเรือง โจโฉได้สร้างตำหนักของตนชื่อว่า "นกยูงทองแดง" โจโฉเป็นคนรอบคอบเสียจนกลายเป็นขี้ระแวง ได้สั่งประหารบุคคลสำคัญไปหลายคน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด เพราะความขี้ระแวงของตน และเมื่อสำนึกได้ ก็มักมาเสียใจในภายหลัง
โจโฉ มีภรรยา 3 คน กับภรรยาคนแรกไม่มีบุตร ภรรยาคนที่สอง มีบุตรเพียงคนเดียวเป็นชาย ชื่อ โจงั่ง ตายเมื่อครั้งสงครามกับเตียวสิ้ว กับภรรยาคนที่สาม คือ นางเปียนสี มีบุตรชายทั้งหมด 4 คน คือ โจผี โจเจียง โจสิด และ โจหิม ซึ่งโจโฉรักภรรยาคนนี้มาก ยกให้เป็นภรรยาหลวง โจโฉ ในบั้นปลายชีวิต ป่วยเป็นโรคประสาท มักปวดหัวอยู่เสมอ ๆ เมื่อหมอฮูโต๋ (ฮัวโต๋) หมอชื่อดังแห่งยุคมารักษา หมอฮูโต๋ได้เสนอให้ผ่าศีรษะ ซึ่งก็คือการผ่าตัด ถือว่าเป็นวิทยาการทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยมาก แต่โจโฉไม่เข้าใจ หาว่าคนจะผ่าศีรษะโดยไม่ตายได้อย่างไร จึงพาลจองจำหมอฮูโต๋ในคุก เมื่ออาการหนักขึ้นก็เห็นภาพหลอน ก่อนตาย โจโฉเห็นหัวที่ถูกตัดแล้วของกวนอูลืมตาขึ้นได้ จึงละเมอว่ากวนอูจะมาเอาชีวิต โจโฉสิ้นชีวิตเมื่ออายุได้ 66 พรรษา (บ้างก็ว่าโจโฉตายด้วยโรคกามโรค) และภายหลังการสิ้นของโจโฉ โจผี ลูกชายคนรองก็ขึ้นมา และถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากตำแหน่ง และสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าโจผี แห่งราชวงศ์วุย และยกย่องโจโฉพระราชบิดาของพระองค์ขึ้นเป็นปฐมบรมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์วุย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น